ครั้นนั้นพระยาไชยสงครามหรือขุนคราม ราชบุตรพระเจ้าเมงรายได้ขึ้นครองเมืองนครพิงค์เพียงสี่เดือน ทรงจัดการทุกสิ่งทุกอย่างเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็มอบราชสมบัติให้แก่เจ้าแสนภูราชโอรสปกครองแล้วจัดให้พ่อท้าวน้ำท่วมราชบุตรองค์กลางให้ไปครองเมืองฝางส่วนเจ้าท้าวงั่วราชบุตรองค์น้องโปรดให้ไปครองเมืองเชียงของส่วนพระองค์ก็เสด็จไปครองเมืองเชียงรายอย่างเก่า กาลก็ล่วงไปได้ปีหนึ่งไม่มีอะไรเกิดขึ้นต่างทางฝ่ายเจ้าขุนเครื่องซึ่งเป็นอนุชาของพระยาไชยสงครามครองเมืองนายอยู่ครั้งยกเมืองเชียงใหม่ให้ราชนัดดาคือเจ้าแสนภูขึ้งครอบครองดังนั้นก็ไม่พอพระทัยจึงจัดแต่งรี้พลไทยใหญ่ของพระองค์เตรียมพร้อมจะยกมาชิงราชสมบัติ เข้าขุนเครือยกพลมาถึงเวียงกุมกามพักพลอยู่ ณ ทุ่งข้าวสาร ทำเป็นเครื่องบรรณาการของฝากส่งไปถึงเจ้าแสนภูและสั่งบอกไปว่า “อาแต่งเครื่องสักการะมาสำหรับพระบรมศพเสด็จพ่อคือเจ้าเมงรายมหาราชเจ้าอย่าได้สงสัยในตัวอาเลยขอจงให้คนเปิดประตูเวียงเพื่อจักได้ไปบูชาพระบรมศพดังกล่าวแล้วขอให้เจ้าหลานแสนภูจงอยู่เป็นสุขเถิด”

ดังนี้ส่งคนไปแล้วเจ้าขุนเครือผู้เป็นอาแท้ๆ ของเจ้าแสนภูแต่งไพร่พลโดยพระองค์เองแต่งเครื่องทรงอย่างจะออกศึกไดดักอยู่ที่ประตูเชียงใหม่และอีกพวกหนึ่งอยู่ที่ประตูสวนดอกเพื่อคอยจับกุมตัวเจ้าแสนภูไปเป็นประกันเพื่อชิงราชสมบัติ เจ้าแสนภูซึ่งในขณะนั้นพระชนมายุได้ ๔๑ พรรษามีพระสติระลึกผิดชอบไม่ประพฤติผิดเป็นพาลทรงทราบด้วยปฏิภาณว่าเจ้าอามุ่งประสงค์จะช่วงชิงเพื่อครองเมืองนครพิงค์ที่ตนครองอยู่ทรงตระหักในพระทัยว่า “ไม่น่าเลยที่พระเจ้าอามาทำกับเราดั่งนี้เสียแรงเกิดมาร่วมตระกูลเดียวกันมาคิดหักล้างกันอย่างนี้หาควรไม่” เจ้าแสนภูรำพึงด้วยความเศร้าสลดในพระราชหฤทัยในเหตุการณ์เฉพาะหน้าซึ่งจำเป็นที่จะต้องตัดสินพระทัยให้เด็ดขาดจะนิ่งเฉยมิได้ พระองค์ทรงดำริว่า “หากถ้าแม้เราจะฮึดสู้และทำศึกสงครามกับเจ้าอาเราก็ย่อมจักทำได้ไม่ยากนักแต่จะมีประโยชน์อะไรเล่าหากเรารบแพ้ก็จะพาไพร่พลไปตายเสียเปล่า ไพร่พลโยธาก็ต้องฆ่าฟันกันเองแม้ว่าเราจะรบชนะเจ้าอาเป็นฝ่ายแพ้เจ้าอาหรือจักมีชีวิตรอดอยู่ได้ด้วยการศึกสงครามนั้นไม่มีแล้วคำว่ามนุษยธรรมไม่มีคำว่าเมตตากรุณาจะมีก็แต่การพิฆาตฟาดฟันให้ย่อยยับไปข้างหนึ่งเท่านั้นถ้าหากหลีกเลี่ยงเสียได้ ก็จะไม่เป็นเวรานุเวรต่อกัน ไพร่พลโยธาก็ไม่ต้องบาดเจ็บล้มตายมากนักอย่ากระนั้นเลยเราจำเป็นต้องระงับเหตุร้ายเสียด้วยการสละราชสมบัติให้เจ้าอาครอบครองต่อไปดีกว่า” รำพึงดังนี้แล้วเจ้าแสนภูผู้รักสันติผู้ไม่มีความโลภผู้มีน้ำพระทัยอันสูงส่งสะอาดหาผู้เสมอเหมือนไม่ได้ ก็จัดแจงอพยพครอบครัวหนีออกทางประตูหัวเวียงไปทางเวียงเชียงโฉมในเวลาเที่ยงคืนแล้วเสด็จเลยไปทาพ่อท้าวน้ำท่วมผู้เป็นอนุชาไปยังเมืองฝางแจ้งเหตุการณ์ให้ทราบตามที่เป็ฯจริงแล้วต่อจากนั้นก็เสด็จเลยไปถึงเมืองเชียงรายจะเข้าเฝ้าพระราชบิดา(เจ้าขุนคราม)เพื่อทูลแจ้งให้ทรงทราบ ทางฝ่ายเจ้าขุนเครือพอเจ้าแสนภูหนีไปแล้วก็ขึ้นครองนครพิงค์ตามที่ตั้งพระทัยไว้แต่แรก แต่ถึงแม้ว่าเจ้าแสนภูจะทรงรักสันติไม่คิดต่อสู้กับเจ้าขุนเครือผู้เป็นอา เจ้าไชยสงครามผู้เป็นเชษฐาของเจ้าขุนเครือและเป็นพระบิดาของงเจ้าแสนภูหาได้คิดเช่นนั้นไม่หลังจากทรงทราบเรื่องแล้วก็เกิดราชมานะพิโรธเป็นยิ่งนัก กล่าวคำสิงหนาทว่า “ดูดู๊เจ้าขุนเครือนี้บังอาจนักทำผิดมหันต์ถึงสามประการต่อกูผู้พี่ ครั้งก่อนก็กระทำมิจฉาจารต่อเมียกูครั้งต่อมาเล่าก็ยังกล้ามาแย่งชิงเอาเมืองเชียงใหม่จากแสนภูลูกของกูอีกมิหนำซ้ำยังมาแย่งชิงเอาเมืองเชียงดายอันเป็นเมืองบำเหน็จที่เสด็จพ่อประทานแก่กูไปอีกเล่า ความผิดถึงสามประการล้วนแต่ทำให้กูต้องเจ็บปวดเคียดแค้นสุดที่จะทนแล้ว จะทิ้งไว้ต่อไปได้อย่างไรก็จะต้องไปผจญกับมันเจ้าขุนเครือให้จงได้ ด้วยความเคียดแค้นที่ถูกพระอนุชากระทำให้เสียน้ำพระทัยเจ้าไชยสงครามก็ได้แต่งพลโยธาแล้วสั่งให้ท้าวน้ำท่วมผู้ครองเมืองฝางยกไปตีเชียงใหม่คืน พ่อท้าวน้ำท่วมก็รับอาสาพระราชบิดากราบถวายบังคมลายกกองทัพไปยังเมืองนครพิงค์เชียงใหม่ เป็นวันอังคารแรมสิบสามค่ำเดือนห้า เวลาใกล้รุ่งกองทัพพ่อท้าวน้ำท่วมก็มาพักอยู่ที่ตำบลทุงแสนตอ พอได้เวลาสมควรท้าวน้ำท่วมผู้แม่ทัพก็มาพักก็แต่งกลศึกอันมีชื่อว่า “กลราชปัญญา”  คือแต่งกลให้คนเอาเครื่องศึกซ่อนในหาบ ทาบไปเหมือนดังจักไปเข้าเวรรั้งเมือง คนหาบเหล่านี้ก็มีหลายคนก็แยกย้ายกันเข้าประจำทุกประตูเมืองครั้นแล้วก็แต่งพลศึกยกเรียงรายกันเข้าตั้งล้อมเมืองเอาไว้ดุจจะตีในทันทีทันใด ชาวนครทั้งหลายก็ถูกเกณฑ์ให้เข้าประจำรักษาประตูต่างๆตามหน้าที่ ครั้นถึงเวลาได้ฤกษ์งามยามดีพ่อท้าวน้ำท่วมกับทหารร่วมใจก็ลอบยกเข้าไปถึงประตูเมืองคนที่ล้อมตัวเป็นผู้รักษาประตูก็เปิดประตูรับพ่อท้าวน้ำท่วมเข้าเมืองได้ในคืนนั้นสั่งไพร่พลให้จุดไฟขึ้นกองทัพที่ล้อมเมืองก็โห่ร้องตีฆ้องกลองขึ้นอึกกระทึกแล้วกรูกันเข้าเมืองพร้อมกับยิงปืนสนั่นหวั่นไหว ผู้คนแตกตื่นกันชุลมุนไปหมด เจ้าขุนเครื่องนั้นเสพสุราเมานอนหลับอยู่เพราะไม่คิดว่าจะมีผู้ยกทัพมาตีเอาเมืองง่ายๆ พอตกใจตื่นเพราะเสียงร้องเรียกของนายประตูว่า “พ่อขุนเป็นเจ้า บัดนี้เจ้าเมืองฝางหลานพ่อขุนยกพลมาตีเอาเมืองเชียงใหม่ทหารเต็มเมืองหมดแล้วเวลานี้กำลังล้อมวังไว้ทุกด้าน” ก็ตกพระทัยแทบสิ้นสติ เสด็จลุกจากพระที่แล่นออกไป ตีกลองสัญญาณป่าวร้องรี้พลสมัครพรรคพวกแต่ก็ไม่มีใครโผล่หน้ามาหาแม้แต่คนเดียว พอดีพ่อท้าวน้ำท่วมพาพลทหารพังประตูวังเข้ามาถึงตัวโดยไม่ต้องมีการตัดพ้อต่อว่าละ พ่อน้ำท่วมสั่งทหารให้จับตัวอาผู้ใจอธรรมทันที ครั้นแล้วก็สั่งให้นำไปขังไว้ที่มุมเมืองด้านตะวันตกเฉียงใต้แต่เป็นนอกเวียง ให้หมื่นเรืองเป็นผู้ควบคุมรักษามิให้หลบหนีไปได้ ตำบลที่พ่อท้าวน้ำท่วมใช้เป็นที่คุมขังเจ้าขุนเครือผู้เป็นอานี้ ภายหลังได้ชื่อว่า “ตำบลขวงเชียงเรือง” สืบต่อมาพ่อท้าวน้ำท่วมกับไพร่พลโยธา ตีได้เมืองเชียงใหม่และจับได้ตัวขุนเครือไปขังไว้แล้ว ก็กำราบปราบปรามพวกสมุนของเจ้าขุนเครือซึ่งเป็นเงี้ยวมาจากนายล้มตายลงไปเป็นอันมาก ที่เหลือก็หลบหนีไปไม่กล้าอยู่สู้หน้า พ่อท้าวน้ำท่วมครั้นตีเมืองแล้วก็จัดการพลเมืองอยู่ในอาการสงบไม่ให้ตื่นตกใจ เสร็จแล้วก็บอกข้อราชการไปยังพระราชบิดา ณ เมืองเชียงราย เจ้าไชยสงครามได้ทราบก็ทรงชื่นชมโสมนัสยินดีเป็นยิ่งนักรีบเสด็จกรีฑาพลลงมายังเมืองเชียงใหม่ ตั้งการพิธีปราบดาภิเษกเข้าพ่อท้าวน้ำท่วมให้เป็นพ่อเมืองเชียงใหม่แต่นั้นมา พ่อท้าวน้ำท่วมขณะนั้นมีพระชนมายุเพียง ๓๐ พรรษา แต่มีความสามารถปราบศัตรูผู้คิดร้ายได้สำเร็จได้เป็นผู้ครองนครพิงค์เชียงใหม่เป็นลำดับ ๔ ตั้งแต่รัชกาลพระเจ้าเมงรายเป็นต้นมา แต่ครองราชย์ได้ ๒ ปี เจ้าไชยสงครามพระราชบิดาก็เกิดระแวงว่าจะเป็นกบฏจึงได้มอบอำนาจให้ท้าวงั่วผู้เป็นอนุชาไปคุมเอาตัวมา และส่งไปไว้ยังเมืองเขมรัฐเชียงตุง พวกเขินชาวเมืองเขมรัฐก็เลยราชาภิเษกพ่อท้าวน้ำท่วมให้เป็นเจ้าผู้ครองเขมรัฐโชติตุงคบุรีในปีนั้น เจ้าขุนเครือถูกขังอยู่สี่ปีก็สิ้นพระชนม์ในที่คุมขัง เจ้าไชยสงครามเสด็จมาทำการฌาปนกิจอนุชาแล้ว ก็ยกให้เจ้าแสนภูขึ้นครองเมืองอีกครั้งหนึ่ง

•แก้ไขล่าสุด• ( •วัน•ศุกร์•ที่ 24 •กุมภาพันธ์• 2012 เวลา 22:39 น.• )