พ่อเจ้าชีวิตอ้าว ท่านเป็นกษัตริย์องค์หนึ่งของเชียงใหม่ กล่าวกันว่ามีพระสุรเสียงห้าวหาญน่าสะพรึงกลัวที่สุด เวลาพระองค์ท่านไม่พอพระทัยอะไรขึ้นมาเพียงแต่เปล่งสุรเสียงออกมาว่า “อ้าว” คำเดียวเท่านั้นก็มีอำนาจพอที่จะทำให้คนที่ได้ยินถึงแก่ขวัญบินเอาง่าย ๆ  ทรงมีน้ำพระทัยเด็จขาดและค่อนข้างจะดุร้าย แต่สมัยโน้นใครบ้างที่จะไม่โหดร้าย ใครบ้างที่จะไม่ทรงพระราชอำนาจเหนือเศียรเกล้าประชาชนพลเมือง ยุคนั้นไม่ว่านอกหรือในประเทศล้วนแต่ทรงอำนาจราชศักดิ์เต็มอัตราด้วยกันทั้งนั้น พ่อเจ้าชีวิตอ้าวองค์นี้ความจริงมีพระนามเป็นทางการอีกพระนามหนึ่ง แต่ประชาชนพลเมืองนิยมเรียกคือ “พ่อเจ้าชีวิตอ้าว” พ่อเจ้าชีวิตองค์นี้ท่านผู้เฒ่าผู้แก่ทางเหนือเล่าสืบต่อกันมาว่า เป็นยักษ์มาเกิดเป็นเจ้าเมืองเชียงใหม่เพราะฉะนั้นจึงมีพระทัยโหดร้าย พ่อเจ้าชีวิตอ้าวอาจมีพระทัยดุร้ายเฉียบขาดแต่พระองค์ท่านก็รักความซื่อสัตย์สุจริตเกลียดความทรยศคดโกงต่างๆว่ากันว่าพระองค์ทรงเป็นตุลาการตัดสินความด้วยพระองค์เอง

บัญญัติกฎหมายขึ้นใช้เองกฎหมายของพ่อเจ้าชีวิตอ้าวนั้นประหลาดที่สุด คือทรงกำหนดโทษคนที่ลักเล็กขโมยน้อยหรือคนที่ชอบขโมยพริกมะเขือผักหญ้าที่เขาปลูกไว้หนักกว่าคนที่ฆ่าคนตาย พระองค์ท่านทรงเห็นว่าบุคคลไม่มีปัญญาจะปลูกพริกปลูกมะเขือกินนับว่าเป็นคนเกลียดคร้านมิหนำซ้ำยังไปรบกวนเบียดเบียนคนที่ปลูกไว้อีก นัยว่าเป็นคนรกโลกใช้การไม่ได้ท่านจึงให้พาเอาไปตัดตีนสินมือ ปรากฏว่าตั้งแต่นั้นมา ไม่เคยมีขโมยพวกลักเล็กขโมยน้อยอีกเลยแต่สำหรับคนที่ฆ่าคนตายนั้นพระองค์ท่านทรงชำระเป็นรายๆไป ถ้าเป็นการฆ่าคนเพื่อรักษาเกียรติยศหรือเพื่อป้องกันตัวอะไรทำนองนี้โทษก็น้อยบางทีแทบไม่มีการลงโทษเลยทั้งนี้เพราะพระองค์ท่านทรงเห็นใจคนที่ป้องกันเกียรติยศหรือป้องกันตัวเองนับเป็นโทษสถานเบา นอกจากกำหนดบทลงโทษแปลกๆดังกล่าวแล้ววิธีพระองค์ทรงจับเท็จก็ยิ่งแปลกแหวกแนวกว่าสมัยนี้อย่างคาดไม่ถึง อาทิเช่น ครั้งหนึ่งมีผู้มาร้องเรียนว่าหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เกิดมีคนมาขโมยกระบือของชาวบ้านไปแต่จับมือใครดมไม่ได้ พ่อเจ้าชีวิตไม่รอช้าเสด็จไปที่โรงประชุมแล้วสั่งให้ผู้ใหญ่บ้านกำนันป่าวร้องให้ราษฎรมาประชุม เพื่อฟังโอวาสของเจ้าชีวิต ผู้ใหญ่บ้านกำนันทุกตำบลก็พากันไปประกาศป่าวร้องให้ราษฎรพากันมาฟังโอวาสของเจ้าชีวิตถ้วนหน้าแต่ไม่ได้บอกว่าเรื่องที่มีคนลักขโมยควายของชาวบ้าน คงบอกแต่เพียงให้ฟังโอวาสเท่านั้นคือราษฎรมาประชุมกันพร้อมหน้าแล้วพ่อเจ้าชีวิตก็เสด็จออก พวกที่พากันนั่งใจตุ่มๆต่อมๆเพราะเคยรู้ว่าก่อนแล้วว่าพระสุรเสียงของพระองค์ท่านนั้นทรงอานุภาพปานใด พ่อเจ้าชีวิตตั้งต้นพระราชทานโอวาสมีใจความว่า ขอให้ราษฎรช่วยกันรักษาความสงบ แต่อย่าเบียดเบียนแก่งแย่งหรือประทุษร้ายต่อกันทรงใช้เสียงที่พยายามดัดให้นุ่มนวนเป็นพิเศษ ทำให้ประชาชนที่มาพากันชื่นชมโสมนัสเป็นยิ่งนักเมื่อจบโอวาสแล้วก็ตรัสอนุญาตว่าทุกคนกลับไปบ้านได้ สิ้นพระสุรเสียงทุกคนลุกขึ้นเดินและขยับตัวพากันไปทีละคนสองคน แต่ทันใดนั้นเองพระสุรเสียงอันมีความดังปานเสียงฟ้าร้องก้องกังวานขึ้นมาว่า “ไอ้คนที่ลักขโมยควายเมื่อคืนนี้หยุดอย่าพึ่งไป” ดังที่เคยบอกแล้วว่าพระสุรเสียงของพ่อเจ้าชีวิตนั้นมีอำนาจเหนือจิตใจของทุกคน เพราะฉะนั้นพอสิ้นพระสุรเสียงก็ปรากฏว่า เจ้าหนุ่มใหญ่คนที่ขโมยควายหยุดยืนตัวสั่นอยู่กลางโรงประชุมใบหน้าซีดขาว เต็มไปด้วยอาการพิรุธเต็มตัวมันสารภาพโดยดีว่าได้ลักขโมยของชาวบ้านไปจริง

•แก้ไขล่าสุด• ( •วัน•อาทิตย์•ที่ 05 •สิงหาคม• 2012 เวลา 10:22 น.• )