เมื่อครั้งที่ได้มีการสร้างรางรถไฟสายเหนือจากกรุงเทพมหานครไปจนถึงจังหวัดนครสวรรค์ก่อนที่จะสร้างต่อไปจนถึงจังหวัดเชียงใหม่ซึ่งเป็นจังหวัดสุกท้ายของทางรถไฟสายนี้นั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จฯ ทรงเปิดทางรถไฟที่สถานีบ้านภาชีเมื่อปี ๒๔๔๘ แล้วเลยเสด็จไปประพาสจังหวัดลพบุรี และจังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งเป็นสถานีปลายทางในสมัยนั้น การเสด็จพระราชดำเนินโดยทางรถไฟในคราวนั้น ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จประพาสหัวเมืองในมณฑลพายัพ โดยมีพระประสงค์จะให้ทรงคุ้นเคยกับราชการในหัวเมืองมณฑลพายัพซึ่งอยู่ห่างไกลพระนครหลวง

สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช กราบถวายบังคมลาที่สถานีปากน้ำโพ เสด็จฯ โดยชลมารคไปขึ้นบกที่จังหวัดอุตรดิตถ์ แล้วเสด็จฯ โดยขบวนม้าและช้างต่อไปถึงจังหวัดแพร่ ลำปาง เชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน ตามลำดับ แล้วจึงเสด็จฯ กลับทางเรือจากจังหวัดเชียงใหม่ล่องตามมาแม่น้ำปิงจนถึงกรุงเทพมหานคร และต่อมาสมเด็จพระบรมโอสาธิราชจึงได้ทรงพระราชนิพนธ์หนังสือลิลิตพายัพนี้ขึ้น

บทพระราชนิพนธ์ “ลิลิตพายัพ” ที่นำมาลงในที่นี้คัดมาเฉพาะบางตอนทีพระองค์เสด็จฯถึงจังหวัดต่างๆในมณฑลพายัพเพื่อใช้ประกอบภาพด้วยเท่านั้น ไม่ได้นำมาลงตลอดทั้งเล่ม โดยที่ไม่สามารถหาภาพการเสด็จพระราชดำเนินในสมัยนั้นได้มากกว่านี้ จึงต้องอาศัยความบางตอนในบทพระราชนิพนธ์ในหนังสือ “ลิลิตพายัพ” เพื่อให้ผู้อ่านนึกถึงภาพพจน์เอาเอง โดยเริ่มต้นที่จังหวัดแพร่ก่อน เป็นต้นไปจนถึงจังหวัดตากซึ่งเป็นจังหวัดสุดท้ายของภาคเหนือ

เสด็จฯจังหวัดแพร่ (บทพระราชนิพนธ์)

รุ่งขบวนคชคลาดข้ามสันพนม พรึงพ่อ

แพร่นคเรศร์บังคม หน่อไท้

กล่าวแสดงจิตต์นิยม ปราโมทย์

จัดธูปเทียนดอกไม้ น้อมเกล้าทูลถวาย ฯ

เดิรทางมาหว่างไม้ ไพรพนม

พลางทอดทัศนาชม หมู่ไม้

โมกม่วงหมู่มันมยม ยางอยู่ รยับแม่

แม่อยู่สูจักได้ ช่วยชี้ชวนชม ฯ

นางชะนีวิเวกไห้ โหยหวน

แว่นหวาดว่านุชครวญ คร่ำข้อย

ออกโอษฐเอ่ยผอูนอวน มาแม่ มาแม่

มาพี่จุ่มพิตน้อย เถิดน้องนวลอนงค์ ฯ

ที่ปางห้วยไร่ตั้ง พลับพลา

เพื่อพระยุพราชา ประทับร้อน

นึกถึงไร่รจนา นึกอิจ ฉาเอย

เงาะป่ายังไดช้อน เชิดแก้มนางชม ฯ

ที่แรมแม่พวกไว้ ริมฝั่ง นทีนา

ชลเนตร์แทบไหลหลั่ง รดหน้า

ทำไฉนจักได้สั่ง ถึงพวก แม่นอ

นอนเดียวเปลี่ยวจิตต์ว้า เหว่ทั้งคืน วันฯ

ที่สิบเก้า ประทับร้อน ริมศาล อำเภอแฮ

สูงเม่นราษฎรทยาน เบียดจ้อง

เข้าตอกบุบผาตระการ โปรยเกลื่อน

ปราโมทย์โอษฐ์โห่ร้อง แซ่ซร้องถวายชัย ฯ

ครั้นถึงวัดเงี้ยวหยุด ประทับ

ทรงเครื่องเรืองระยับ เพริศแพร้ว

ขาวเต็มยศประดับ ตราแต่ง

งามหมดงามเลิดแล้ว เลิดล้วนควรชม ฯ

ร่าย

ครั้นเพลาสมควร เคลื่อนคลาดขบวนดำเนิร

กองตำรวจเดิรนำแห่ กองทหารแพร่แห่งาม นครินทร์

ตามบนม้า นำหน้าอาชาทรง ทหารแซงองค์สองข้าง

สร้างสลอนสลับแลตระการ ราชบริพารแห่ห้อม

ล้อมบ่มิใกล้เหลือเกิน เดิรบ่มิไกลเกินงาม ตามเสด็จ

ไท้พอควร ขบวนผ่านทางประตูชัย เข้าในพาราแพร่

ตุ๊สวดแซ่คาถาชัย ถวายพรไผทนเรนทร ราษฎร

เรียงดาดาษ ถวายอภิวาทน์องค์เจ้า เข้าตอกเกลื่อน

กลาดโปรย บุบผาโรยตามวิถี ครั้นภูมีพลับพลา

หน้าจวนผู้ครองเมือง เสด็จย่างเยื้องขึ้นบัลลังก์

ข้าบาทสะพรั่งเฝ้าระดะ เสนาะแสดงความยินดี ปิติแทน

เสนา มาตยาประจำแพร่นคร ภูธรดำรัสตอบ ขอบใจ

พอสมควร มวญหมู่ข้าบาทคำนับ รับดำรัสหน่อ

พุทธเจ้า แล้วจึ่งเฝ้าเรียงตน จนครบตัวทั่วหน้า

จึ่งโอรสาธิราชไท เสด็จสู่จวนจัดไว้ เพื่อท้าวเธอแรม อยู่นา ฯ

โคลง ๓

รุ่งขึ้นพระภูบาล ทอดพระเนตรสถานใหญ่น้อย

จนแดดจวนบ่ายคล้อย จึ่งได้เสด็จคืน สถานนา ฯ

โครง ๒

ครั้นสองโมงบ่ายแล้ว เสด็จสู่พลับพลาแก้ว โปรดให้ขบวรเดิร ฯ

โครง ๔

กระบวนบ้องไฟจัดล้วน ควรยล

รูปสัตว์ผูกชอบกล มากแล้

ดนตรีฉาบกลองอล อึงมี่

พิศพิศวิจิตร์แท้ ประหลาดล้วนควรดู ฯ

ชาวเพลงเปล่งศัพท์ร้อง ถวายชัย

แด่พระหน่ออนาถาไผท ผ่านฟ้า

กรกรีดกรายฟ้อนไป วนประทัก ษิณนอ

จนผจบสามรอบช้า แช่มช้อยชวนชม ฯ

ร่าย

•แก้ไขล่าสุด• ( •วัน•เสาร์•ที่ 17 •สิงหาคม• 2013 เวลา 15:13 น.• )