เว็บไซต์รวมถึงทีมงานขอบคุณเดลินิวส์หนังสือพิมพ์รายวันและเว็บไซต์ http://www.dailynews.co.th/ ที่เห็นความสำคัญของชุมเล็ก ๆ ในจังหวัดแพร่ทำให้เราทุกคนมีกำลังใจที่จะบอกเล่าเรื่องราวข่าวสารในท้องถิ่นโดยไม่หวังผลกำไรต่อไป สังคมเมืองแพร่ยังต้องการผู้ที่เสียสละเห็นแก่ปะโยชน์ของชุมชนอีกมาก หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ทำให้เราเห็นได้ว่ายังมีสื่อที่ให้ความสำคัญต่อชุมชนเสมอมา ผมขออนุญาตกล่าวประวัติหนังสือพิมพ์เดลินิวส์เพื่อเป็นการขอบคุณครับ

เดลินิวส์ (อังกฤษ: Daily News) หนังสือพิมพ์รายวัน อตั้งโดย นายแสง เหตระกูล ออกฉบับปฐมฤกษ์ เมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๐๗ ใช้ชื่อหัวหนังสือพิมพ์ขณะนั้นว่า แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์ จำนวน ๑๖ หน้า ราคาฉบับละ ๑.๐๐ บาท โดยมีนายประพันธ์ เหตระกูล เป็นบรรณาธิการบริหาร ปัจจุบันใช้ชื่อ เดลินิวส์ (ตั้งแต่ ๒๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๒๒) มีจำนวนหน้าระหว่าง ๒๘-๔๘ หน้า ราคาฉบับละ ๑๐.๐๐ บาท และนางประภา เหตระกูล (ศรีนวลนัด) เป็นบรรณาธิการบริหาร

ประวัติเดลิเมล์ และ บางกอกเดลิเมล์ หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ถือกำเนิดจากความตั้งใจของนายห้างแสง ที่ดำเนินกิจการโรงพิมพ์ประชาช่าง มาเป็นเวลา ๕ ปี นับว่ามีประสบการณ์ในแวดวงน้ำหมึกอยู่พอสมควร จึงตัดสินใจซื้อกิจการหนังสือพิมพ์ กรุงเทพ เดลิเมล์ (อังกฤษ: Bangkok Daily Mail) ของนายหลุย คีรีวัตน์ ซึ่งได้หยุดดำเนินการไปตั้งแต่วันที่ ๑๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๖ เริ่มจากการออกหนังสือพิมพ์รายปักษ์ เดลิเมล์วันจันทร์ เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๙๓ โดยนายห้างแสง เป็นเจ้าของ และผู้อำนวยการ และจ้าง บริษัท ประชาช่าง จำกัด ของนายห้างแสงเอง เป็นผู้พิมพ์ ซึ่งมีพาดหัวข่าวในฉบับปฐมฤกษ์ว่า “นักศึกษา มธก.รากเลือดค้าน ก.พ.” จนกระทั่งเมื่อราวปี พ.ศ. ๒๕๐๐ หนังสือพิมพ์ บางกอกเดลิเมล์ รายวัน ฉบับบ่าย จำนวน ๖ หน้า ราคาฉบับละ ๕๐ สตางค์ มียอดจำหน่าย ๓,๕๐๐ ฉบับต่อวัน และนับเป็นหนังสือพิมพ์ฉบับแรก ที่ขยายขนาดหน้ากว้างเพิ่มขึ้น จากเดิม ๗ เป็น ๘ คอลัมน์นิ้ว จนกลายเป็นบรรทัดฐานของหน้ากระดาษหนังสือพิมพ์รายวันในยุคต่อมา แต่เมื่อรัฐบาล จอมพลแปลก พิบูลสงคราม ถูกรัฐประหารโค่นล้มลงโดย จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จากนั้น จอมพลสฤษดิ์จึงเข้าตรวจสอบหนังสือพิมพ์หลายฉบับอย่างเข้มงวด รวมทั้งเดลิเมล์ และบางกอกเดลิเมล์ด้วย โดยจอมพลสฤษดิ์ ออกคำสั่งให้จับกุมกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์หลายคน จากหลายฉบับ และบางรายถึงกับเสียชีวิตในที่คุมขัง ภายหลังจากนั้น ขณะเดียวกัน เมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๐๑ นายห้างแสงได้ทราบว่า จะมีคำสั่งงดใบอนุญาตประกอบการหนังสือพิมพ์ เข้ามาถึงโรงพิมพ์ จึงสั่งให้กองบรรณาธิการที่ยังไม่ถูกจับกุม เร่งทำงานอย่างเต็มกำลัง เพื่อให้เดลิเมล์สามารถออกจำหน่ายได้ในวันรุ่งขึ้นอีก ๑ วัน แต่ขณะที่แท่นพิมพ์กำลังเริ่มกระบวนการพิมพ์นั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาลกลุ่มหนึ่ง เดินทางมาถึงสำนักงานเดลิเมล์ พร้อมแจ้งว่า กรมตำรวจ โดยคำสั่งคณะปฏิวัติ มีคำสั่งให้ปิดเดลิเมล์รายวันอย่างไม่มีกำหนด โดยระบุให้ยึด และปิดแท่นพิมพ์ เพื่อห้ามทำการพิมพ์ จนกว่าจะมีคำสั่งอนุญาตเป็นอย่างอื่น จากนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจนำครั่งประทับบนแท่นพิมพ์ พร้อมใช้โซ่ล่ามแท่นอย่างแน่นหนา นับเป็นการยุติการดำเนินงานของเดลิเมล์ นับแต่วันนั้นเอง

แนวหน้าแห่งยุค “เดลินิวส์” หลังจากนั้น นายห้างแสงก็ยังมีความประสงค์ จะดำเนินกิจการออกหนังสือพิมพ์อย่างต่อเนื่องตลอดมา จนกระทั่งซื้อหัวหนังสือพิมพ์แนวหน้าในขณะนั้นมาได้ กองบรรณาธิการจึงคิดปรับปรุงผสมผสานชื่อหนังสือพิมพ์ เพื่อให้ประชาชนเชื่อมโยงได้ว่า เป็นกองบรรณาธิการชุดเดียวกับเดลิเมล์ จนกลายเป็นชื่อใหม่ แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์ เริ่มพิมพ์ออกจำหน่ายเป็นฉบับปฐมฤกษ์ เมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๐๗ มีนายประพันธ์ เหตระกูล บุตรชายนายห้างแสง เป็นบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณาโดยตำแหน่ง และ บริษัท สี่พระยาการพิมพ์ จำกัด เป็นเจ้าของ เมื่อยุคเริ่มแรก มีจำนวน ๑๖ หน้า ราคา ๑ บาท ส่วนพาดหัวข่าวในฉบับวันนั้นคือ “เมียน้อยจอมพลสฤษดิ์ท้องในอเมริกา พบรักแท้กับนักเรียนไทยวัยรุ่น” แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์ มีจุดขายในช่วงแรก คือการนำเสนอข่าวอนุภรรยาของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มีทั้งนางงาม ดารา นักร้อง นักแสดง และสาวงามทั่วแผ่นดิน จำนวนถึง ๑๐๓ คน จนกระทั่งได้รับฉายา จอมพลผ้าขาวม้าแดง ตลอดจนการเปิดโปงถึง มรดกจำนวนมหาศาลถึง ๒,๘๗๔ ล้านบาท ของจอมพลสฤษดิ์ รวมถึงข่าวอาชญากรรมสำคัญอีกหลายชิ้นด้วย ในขณะที่อัตราค่าโฆษณา เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๘ สี่สีอยู่ที่หน้าละ ๕,๐๐๐ บาทต่อวัน และหน้าขาว-ดำ ๒๐ บาทต่อ ๑ คอลัมน์นิ้วต่อวัน ต่อมาช่วงปี พ.ศ. ๒๕๑๖-พ.ศ. ๒๕๑๗ เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ อันเนื่องมาจากการขึ้นราคาน้ำมันในตลาดโลก ส่งผลกระทบถึงการดำเนินธุรกิจหนังสือพิมพ์ โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์รายวันเกือบทุกฉบับในเวลานั้น ก็พร้อมใจกันขึ้นราคาอีก ๕๐ สตางค์ อย่างถ้วนหน้า จึงได้มีการปรับปรุงคุณภาพเนื้อหาไปพร้อมกันนี้ โดยในช่วงดังกล่าว ทีมข่าวการเมือง ได้ลงบทวิเคราะห์เจาะลึก หลังเหตุการณ์ ๖ ตุลาอย่างใกล้ชิด ส่งผลให้ นายสมัคร สุนทรเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และปลัดกระทรวงมหาดไทย ในยุคคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน อาศัยอำนาจเจ้าพนักงานการพิมพ์ ตามพระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ. ๒๔๘๔ และอำนาจตามประกาศคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ ๔๒ (ปร.๔๒) สั่งลงโทษ แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์ ในข้อหาเสนอข่าว ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง โดยให้ปิดกิจการอย่างไม่มีกำหนด แต่หลังจากนั้น ๑๕ วัน จึงให้เปิดดำเนินการได้ โดยหลังจากกลับมาออกจำหน่ายอีกครั้ง แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์ ก็เริ่มปรับปรุงโฉมใหม่ ทั้งหัวหนังสือพิมพ์ จากพื้นสีบานเย็นตัวเจาะขาว มาเป็นสีบานเย็นสดใส โดยเฉพาะฉบับวันอาทิตย์ ได้เพิ่มคอลัมน์ “บิวตี้ฟูลซันเดย์” และออกเป็นฉบับพิเศษ เพิ่มจำนวนขึ้นเป็น ๕๘ หน้า ราคาเท่าเดิม ในทุกวันจันทร์ จึงให้ชื่อฉบับพิเศษนี้ว่า “เก๋วันจันทร์” โดยเริ่มต้นในฉบับวันจันทร์ที่ ๒๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๙

ต่อมา เมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๑ นายชลอ อยู่เย็น ขึ้นเป็นบรรณาธิการบริหาร แทนนายประพันธ์ ที่ขึ้นเป็น กรรมการอำนวยการบริหาร ฝ่ายวางแผนการผลิตและการตลาด ต่อมาในปีเดียวกัน นายบรรเจิด ทวี ขึ้นเป็นบรรณาธิการบริหาร โดยทั้งสองรับงานบริหาร แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์ อยู่เพียงระยะสั้นๆ เท่านั้น จนกระทั่ง นายประชา เหตระกูล น้องชายนายประพันธ์ เข้ารับตำแหน่ง บรรณาธิการบริหาร ตั้งแต่วันที่ ๒๐ พฤศจิกายน โดยนายประชาได้เข้ามาปรับปรุง แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์ ในหลายประการ เช่นเพิ่มเนื้อหาขึ้นจาก ๑๖ หน้า เป็น ๒๐ และ ๒๔ หน้า ตามลำดับ โดยราคาจำหน่ายคงเดิม ที่สำคัญคือ เมื่อวันที่ ๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๒๒ บริษัท สี่พระยาการพิมพ์ จำกัด ได้ยื่นเรื่องขออนุญาตเปลี่ยนชื่อหนังสือพิมพ์จาก แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์ มาเป็น เดลินิวส์ และได้รับอนุญาตจากทางราชการ ให้ใช้ชื่อดังกล่าว ตั้งแต่วันที่ ๒๒ มกราคม ปีเดียวกันนั้น เป็นต้นมา และในวันที่ ๑๕ กรกฎาคม นายห้างแสงมีดำริให้ขยับขยายสำนักงานเดลินิวส์ จากเลขที่ ๔๒๓ ถนนสี่พระยา ไปยังอาคาร ๔ ชั้น ที่ตั้งอยู่ ณ เลขที่ ๔/๓ ถนนวิภาวดีรังสิต จนถึงปัจจุบัน ในช่วงนี้ได้มีการพัฒนาโฉมใหม่ ทั้งรูปเล่มและเนื้อหา ในปี พ.ศ. ๒๕๒๒ ขยับราคาเป็น ๒ บาท และขึ้นเป็น ๓ บาท ในปี พ.ศ. ๒๕๒๓ จากนั้น เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๙ เดลินิวส์เริ่มการพิมพ์ภาพข่าวสี่สีเป็นครั้งแรก คือภาพกระสวยอวกาศชาเลนเจอร์โศกนาฏกรรมกระสวยอวกาศแชลเลนเจอร์ระเบิดกลางอากาศ และต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๓๑ เดลินิวส์ตีพิมพ์ภาพข่าวสี่สี อันเป็นที่ฮือฮาอีกครั้ง คือภาพข่าว นางสาวภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก สวมมงกุฎรับตำแหน่งนางงามจักรวาลที่ไต้หวัน โดยมีภาพสี่สีถึงสองส่วน จากนั้น เดลินิวส์ก็เปิดแนวคิดแบ่งเนื้อหาออกเป็นสองส่วน อย่างชัดเจนเป็นฉบับแรก โดยแบ่งข่าวหน้า ๑ ข่าวการเมือง ข่าวเศรษฐกิจ ข่าวอาชญากรรม ข่าวต่างประเทศ ข่าวเกษตร คอลัมน์ และสกู๊ปวาไรตี้สี่สี เป็นส่วนแรก และส่วนที่สอง เริ่มด้วยข่าวกีฬา ข่าวสังคมสตรี ข่าว กทม. ข่าวภูมิภาค และปิดท้ายด้วยข่าวบันเทิง ต่อมา เดลินิวส์วางแผนขยับขยายสถานที่เพิ่มเติมอีกครั้ง โดยก่อสร้างอาคารสำนักงานหลังใหม่ จำนวน ๙ ชั้น บนที่ดินผืนเดียวกับอาคารหลังเดิม ปัจจุบัน (พ.ศ. ๒๕๕๒) หนังสือพิมพ์เดลินิวส์รายวัน มีนางประภา เหตระกูล (ศรีนวลนัด) เป็นบรรณาธิการบริหาร ราคาจำหน่ายฉบับละ ๑๐ บาท จำนวนหน้าระหว่าง ๒๘-๔๘ หน้า และยอดจำหน่ายเป็นอันดับสองของประเทศ รองจากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ด้านเทคโนโลยีข่าวสาร เมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๐ เดลินิวส์เปิดให้บริการส่งข่าวทางวิทยุติดตามตัว เพื่อให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลข่าวสาร อย่างรวดเร็ว พร้อมกันทั่วประเทศ และเริ่มส่งข่าว ผ่านทางบริการบิซนิวส์ และวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๑ เดลินิวส์ได้ขยายสู่โลกอินเทอร์เน็ต โดยเปิดตัวเว็บไซต์หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ออนไลน์ขึ้นทาง www.dailynews.co.th

ระบบการพิมพ์ ในยุคหนังสือพิมพ์เดลิเมล์ และแนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์ระยะแรก ใช้แท่นพิมพ์ระบบโรตารี่ออฟเซ็ตในการพิมพ์ ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๐๘ ได้พัฒนาระบบการพิมพ์ ไปใช้รูปแบบที่เรียกว่า เว็บเพรส (Web Press) คือการป้อนกระดาษม้วนเข้าสู่แท่นพิมพ์ ทำให้สามารถเพิ่มความเร็ว และจำนวนการพิมพ์เป็น ๒๐,๐๐๐ ฉบับต่อชั่วโมง ราวปี พ.ศ. ๒๕๑๙ เดลินิวส์ได้เริ่มเดินเครื่องพิมพ์ใหม่ ในระบบเวบออฟเซ็ต ด้วยการพิมพ์ฉบับ เก๋วันจันทร์ เป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม ต่อมา มีการติดตั้งแท่นพิมพ์ใหม่ ในระบบแซตเติลไลต์ ยูนิต สามารถควบคุมการพิมพ์สี่สี ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ พร้อมความเร็ว ๑๒๐,๐๐๐ ฉบับต่อชั่วโมง จากนั้น ในปี พ.ศ. ๒๕๓๙ ได้เพิ่มแท่นพิมพ์ ระบบโฟร์ไฮ อีก ๒ แท่น ที่พิมพ์ได้ครั้งละ ๙๒ หน้า ด้วยความเร็วประมาณ ๖๐,๐๐๐ ฉบับต่อชั่วโมงต่อแท่น

•แก้ไขล่าสุด• ( •วัน•ศุกร์•ที่ 06 •กรกฏาคม• 2012 เวลา 17:28 น.• )